วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

กินอาหารที่สับ-บด แช่ไว้ในตู้เย็น อาจเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ-เบาหวานเพิ่มขึ้นไม่รู้ตัว

   อันตรายจากอาหารแช่แข็งและอาหารแปรรูปเพิ่งถูกค้นพบว่าอาจทำให้เสี่ยงโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้น แนะเลี่ยง หันมากินอาหารสด ๆ กันดีกว่า

          
จากการศึกษาของมหาวิทยาลัย Leicester ทำให้ทราบว่าอาหารแปรรูป หรืออาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง โดยเฉพาะอาหารประเภทบด-สับ แล้วนำไปแช่ตู้เย็นทิ้งไว้ อาจเพิ่มสาร PAMPs (pathogen-associated molecular patterns) หรือเชื้อก่อโรค ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคเบาหวานได้ 

          โดย ดร.Clett Erridge หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Leicester อธิบายว่า การรับประทานอาหารแปรรูปหรืออาหารแช่แข็งบ่อย ๆ ก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน และโรคอ้วน แต่ผลการศึกษาชิ้นนี้ของทางมหาวิทยาลัย Leicester จะมาย้ำเตือนอีกครั้งว่าสาร PAMPs หรือเชื้อก่อโรค สามารถพบได้ในอาหารแช่แข็ง อาหารแปรรูป และอาหารสำเร็จรูปบางชนิด และมีแนวโน้มจะเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้จริง ๆ 


          
ทั้งนี้นักวิจัยก็สันนิษฐานว่า เชื้อก่อโรคหรือสาร PAMPs ที่ว่า อาจเจริญเติบโตในระหว่างกระบวนการผลิตอาหารแปรรูปหรืออาหารแช่แข็งที่อาจจะไม่ถูกสุขลักษณะเพียงพอ และมีแนวโน้มจะกระจายจำนวนของเชื้อแบคทีเรียก่อโรคเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่ถูกแช่แข็งเก็บไว้ ซึ่งเมื่อเรารับประทานอาหารแช่แข็งเหล่านี้เข้าไป สาร PAMPs ก็อาจเข้าไปจู่โจมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงได้ และมีความไวต่อการเกิดโรคเรื้อรังอย่างโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ง่ายขึ้น
ภาพจาก University of Leicester
 
          อย่างไรก็ดี นักวิจัยได้ลองทดสอบกับอาสาสมัครจำนวน 11 คน โดยแบ่งให้รับประทานอาหารที่แปรรูปแช่แข็งกลุ่มหนึ่ง และรับประทานอาหารสดที่มีสาร PAMPs ในระดับต่ำอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งผลปรากฏว่า กลุ่มที่กินอาหารที่มีสาร PAMPs ต่ำ มีแนวโน้มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ลดลงราว ๆ 40% และ 15% ตามลำดับ
 

         
 แต่สำหรับอาสาสมัครกลุ่มที่กินอาหารแปรรูปบ่อย ๆ กลับมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกับกลุ่มแรก โดยมีแนวโน้มจะเสี่ยงต่อโรคดังกล่าวมากกว่า ซึ่งความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดหัวใจนี้ก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพของอาสาสมัครแต่ละบุคคลด้วย

นอกจากนี้นักวิจัยยังเผยว่า อาหารแช่แข็งหรืออาหารแปรรูปที่พบว่ามีสาร PAMPs ค่อนข้างสูง ก็ได้แก่ เนื้อสับ-เนื้อสัตว์บดแช่แข็ง อย่างพวกไส้กรอกหรือเนื้อสัตว์สำหรับทำเบอร์เกอร์ อาหารสำเร็จรูป เช่น ลาซานญ่า พาสต้า ชีสบางชนิด ช็อกโกแลต และผักผลไม้หั่น-สับ-บด แล้วแช่แข็ง เช่น หัวหอม เป็นต้น รวมทั้งอาหารที่มีส่วนประกอบของซอสชนิดต่าง ๆ หรือแซนด์วิช ก็พบว่ามีสาร PAMPs เจือปนอยู่ด้วย

         
 ดังนั้นทางที่ดีก็ควรรับประทานอาหารและผัก ผลไม้ที่สดใหม่ ซึ่งนักวิจัยตรวจหาสาร PAMPs ในอาหารสด ๆ ไม่พบ และพยายามหลีกเลี่ยงอาหารแช่แข็ง อาหารแปรรูป หรือแม้แต่อาหารที่เราหั่น สับ บด เองแล้วนำไปแช่ตู้เย็นด้วยนะคะ เพราะแม้จะมั่นใจว่ากระบวนการทำอาหารของเราสะอาดเพียงพอ แต่การเก็บอาหารสดแช่ทิ้งไว้ในตู้เย็นก็อาจเสี่ยงที่จะมีเชื้อโรคและแบคทีเรียมาสะสมอยู่ในอาหารที่เราแช่เย็นเอาไว้ได้ ฉะนั้นปรุงสดทุก ๆ จานก็น่าจะปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่า


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Science Daily
 
Science Newsline
สืบค้นจาก  http://health.kapook.com/view141705.html

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

น้ำอัดลมไดเอต ยิ่งดื่มยิ่งอ้วน เสี่ยงรอบเอวเพิ่มขึ้น 3 เท่า !




 โทษของน้ำอัดลมไดเอต ยิ่งดื่มก็ยิ่งทำให้อ้วน รอบเอวเพิ่มจนน่าตกใจ แถมเสี่ยงโรคอีกเพียบ
          เรามักคิดกันว่าอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีแคลอรีต่ำนั้นดีกับสุขภาพและช่วยลดน้ำหนัก แต่จริง ๆ แล้วนั่นอาจไม่ใช่ความคิดที่ถูกเสมอไป เพราะล่าสุดเว็บไซต์ Time  ได้เปิดเผยผลการศึกษาที่น่าตกใจ ที่พบว่าการดื่มน้ำอัดลมไดเอตนั้นไม่ได้ช่วยให้เราได้รับแคลอรีน้อยลง แต่รอบเอวเพิ่มขึ้น และเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงอีกด้วย
          การศึกษาล่าสุดซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Journal of the American Geriatrics Society เปิดเผยว่า จากการศึกษามานานกว่า 9 ปีพบว่า การดื่มน้ำอัดลมที่ผสมสารให้ความหวานแทนน้ำตาล หรือที่เรียกว่าน้ำอัดลมแบบไดเอต ทำให้มีไขมันรอบเอวสะสมมากกว่าคนที่ไม่ดื่มน้ำอัดลมไดเอตถึง 3 เท่า 

ชุดประจำชาติอาเซียน 10 ประเทศ

บรูไน
ชุดประจำชาติของบรูไนคล้ายกับชุดประจำชาติของผู้ชายประเทศมาเลเซียชุดของผู้ชาย เรียกว่า Baju Melayu ผู้หญิงเรียกว่า Baju Kurung  แต่ผู้หญิงบรูไนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส โดยมากมักจะเป็นเสื้อผ้าที่คลุมร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ส่วนผู้ชายจะแต่งกายด้วยเสื้อแขนยาว ตัวเสื้อยาวถึงเข่า นุ่งกางเกงขายาวแล้วนุ่งโสร่ง เป็นการสะท้อนวัฒนธรรมสังคมแบบอนุรักษ์นิยม เพราะบรูไนเป็นประเทศมุสสิม จึงต้องแต่งกายมิดชิดและสุภาพเรียบร้อย
กัมพูชา
ชุดประจำชาติของประเทศกัมพูชาเรียกว่า ซัมปอต (Sampot) หรือผ้านุ่งกัมพูชา ทอด้วยมือ มีทั้งแบบหลวมและแบบพอดี คาดทับเสื้อบริเวณเอว ผ้าที่ใช้มักทำจากไหมหรือฝ้าย หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ซัมปอตสำหรับผู้หญิงมีความคล้ายคลึงกับผ้านุ่งของประเทศลาวและไทย ทั้งนี้ ซัมปอดมีหลายแบบซึ่งจะแตกต่างกันไปตามชนชั้นทางสังคมของชาวกัมพูชา ถ้าใช้ในชีวิตประจำวันจะใช้วัสดุราคาไม่สูง ซึ่งจะส่งมาจากประเทศญี่ปุ่น นิยมทำลวดลายตามขวาง ถ้าเป็นชนิดหรูหราจะทอด้ายเงินและด้ายทอง
อินโดนีเซีย
ชุดประจำชาติของประเทศอินโดนีเซียเรียกว่า เคบาย่า (Kebaya)  เป็นชุดประจำชาติของประเทศอินโดนีเซียสำหรับผู้หญิง มีลักษณะเป็นเสื้อแขนยาว ผ่าหน้า กลัดกระดุม ตัวเสื้อจะมีสีสันสดใส ปักฉลุเป็นลายลูกไม้ ส่วนผ้าถุงที่ใช้จะเป็นผ้าถุงแบบบาติก ส่วนการแต่งกายของผู้ชายมักจะสวมใส่เสื้อแบบบาติกและนุ่งกางเกงขายาวหรือเตลุก เบสคาพ (Teluk Beskap) ซึ่งเป็นการแต่งกายแบบผสมผสานระหว่างเสื้อคลุมสั้นแบบชวาและโสร่ง และนุ่งโสร่งเมื่ออยู่บ้านหรือประกอบพิธีละหมาดที่มัสยิด

ลาว
ผู้หญิงลาวนุ่งผ้าซิ่น  และใส่เสื้อแขนยาวทรงกระบอก สำหรับผู้ชายมักแต่งกายแบบสากล หรือนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อชั้นนอกกระดุมเจ็ดเม็ด คล้ายเสื้อพระราชทานของไทย


มาเลเซีย
ชุดของผู้ชาย เรียกว่า Baju Melayu (บาจู มลายู) ผู้หญิงเรียกว่า Baju Kurung (บาจูกุรุง) ประกอบด้วยเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวที่ทำจากผ้าไหม ผ้าฝ้าย หรือโพลีเอสเตอร์ที่มีส่วนผสมของผ้าฝ้าย ส่วนชุดของผู้หญิงเรียกว่า บาจูกุรุง (Baju Kurung) ประกอบด้วยเสื้อคลุมแขนยาว และกระโปรงยาว
พม่า
ชุดประจำชาติของชาวพม่าเรียกว่า ลองยี (Longyi) เป็นผ้าโสร่งที่นุ่งทั้งผู้ชายและผู้หญิง ในวาระพิเศษต่าง ๆ ผู้ชายจะใส่เสื้อเชิ้ตคอปกจีนแมนดารินและเสื้อคลุมไม่มีปก บางครั้งจะใส่ผ้าโพกศีรษะที่เรียกว่า กอง บอง (Guang Baung) ด้วย ส่วนผู้หญิงพม่าจะใส่เสื้อติดกระดุมหน้าเรียกว่า ยินซี (Yinzi) หรือเสื้อติดกระดุมข้างเรียกว่า ยินบอน (Yinbon) และใส่ผ้าคลุมไหล่ทับ
ฟิลิปปินส์
ผู้ชายจะนุ่งกางเกงขายาวและสวมเสื้อที่เรียกว่า บารอง ตากาล็อก (barong Tagalog) ซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าใยสัปปะรด มีบ่า คอตั้ง แขนยาว ที่ปลายแขนเสื้อที่ข้อมือจะปักลวดลาย ส่วนผู้หญิงนุ่งกระโปรงยาว ใส่เสื้อสีครีมแขนสั้นจับจีบยกตั้งขึ้นเหนือไหล่คล้ายปีกผีเสื้อ เรียกว่า บาลินตาวัก (balintawak)
สิงคโปร์
สิงคโปร์ไม่มีชุดประจำชาติเป็นของตนเอง เนื่องจากประเทศสิงคโปร์แบ่งออกเป็น 4 เชื้อชาติหลัก ๆ ได้แก่ จีน มาเลย์ อินเดีย และชาวยุโรป ซึ่งแต่ละเชื้อชาติก็มีชุดประจำชาติเป็นของตนเอง เช่น ผู้หญิงมลายูในสิงคโปร์ จะใส่ชุดเกบาย่า (Kebaya) ตัวเสื้อจะมีสีสันสดใส ปักฉลุเป็นลายลูกไม้ หากเป็นชาวจีน ก็จะสวมเสื้อแขนยาว คอจีน เสื้อผ้าหน้าซ่อนกระดุม สวมกางเกงขายาว โดยเสื้อจะใช้ผ้าสีเรียบหรือผ้าแพรจีนก็ได้

ไทย                                                                                                                                        ชุดประจำชาติไทย ผู้หญิงใส่ชุดไทยจักรี (Chakri) ผู้ชายใส่เสื้อพระราชทาน

เวียดนาม                                                                                                                                ชุดประจำชาติเวียดนาม เรียกว่า อ่าวหญ่าย (Ao dai)    เป็นชุดประจำชาติของประเทศเวียดนามที่ประกอบไปด้วยชุดผ้าไหมที่พอดีตัวสวมทับกางเกงขายาวซึ่งเป็นชุดที่มักสวมใส่ในงานแต่งงานและพิธีการสำคัญของประเทศ มีลักษณะคล้ายชุดกี่เพ้าของจีน ในปัจจุบันเป็นชุดที่ได้รับความนิยมจากผู้หญิงเวียดนาม ส่วนผู้ชายเวียดนามจะสวมใส่ชุดอ่าวหญ่ายในพิธีแต่งงาน หรือพิธีศพ
คลิกเพื่อดูเอกสารเพิ่มเติม

แหล่งที่มา  https://kullanit.wordpress.com

สกุลเงินอาเซียน


          สำหรับสกุลเงินที่ใช้กันในหมู่ของประเทศสมาชิกอาเซียน ทางประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ยังไม่มีแนวคิดที่จะใช้เงินสกุลเดียวกันเหมือนกับประชาคมยุโรป เนื่องจากหวั่นเกรงว่าจะประสบปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะและเศรษฐกิจยุโรปที่ เกิดขึ้นในสหภาพยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กรีซและสเปน ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ โดยปัญหาที่เกิดขึ้นมีต้นตอมาจากการใช้สกุลเงินร่วมกัน (สกุลเงินยูโร) นั่นเอง

 ส่วนประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศ ใช้สกุลเงินดังนี้



1. บรูไน ดารุสซาลาม

 ใช้สกุลเงิน ดอลลาร์บรูไน 
 อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์บรูไน = 25.10 บาท
 ธนบัตรที่ใช้ในปัจจุบัน = 1 ดอลลาร์บรูไน, 5 ดอลลาร์บรูไน, 10 ดอลลาร์บรูไน, 20 ดอลลาร์บรูไน, 25 ดอลลาร์บรูไน, 50 ดอลลาร์บรูไน, 100 ดอลลาร์บรูไน, 500 ดอลลาร์บรูไน, 1,000 ดอลลาร์บรูไน และ 10,000 ดอลลาร์บรูไน

2. ราชอาณาจักรกัมพูชา

 ใช้สกุลเงิน เรียล
 อัตราแลกเปลี่ยน 150 เรียล = 1 บาท
 ธนบัตรที่ใช้ในปัจจุบัน = 50 เรียล, 100 เรียล, 500 เรียล, 1,000 เรียล, 2,000 เรียล, 5,000 เรียล, 10,000 เรียล, 20,000 เรียล, 50,000 เรียล และ 100,000 เรียล

3. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย
 ใช้สกุลเงิน รูเปียห์
 อัตราแลกเปลี่ยน 1,000 รูเปียห์ = 3.95 บาท
 ธนบัตรที่ใช้ในปัจจุบัน = 1,000 รูเปียห์, 2,000 รูเปียห์, 5,000 รูเปียห์, 10,000 รูเปียห์, 20,000 รูเปียห์, 50,000 รูเปียห์ และ 100,000 รูเปียห์

4. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

 ใช้สกุลเงิน กีบ
 อัตราแลกเปลี่ยน 1,000 กีบ = 4.05 บาท
 ธนบัตรที่ใช้ในปัจจุบัน = 500 กีบ, 1,000 กีบ, 2,000 กีบ, 5,000 กีบ, 10,000 กีบ, 20,000 กีบ และ 50,000 กีบ

5. มาเลเซีย

 ใช้สกุลเงิน ริงกิต
 อัตราแลกเปลี่ยน 1 ริงกิตมาเลเซีย = 10.40 บาท
 ธนบัตรที่ใช้ในปัจจุบัน = 1 ริงกิต, 5 ริงกิต, 10 ริงกิต, 20 ริงกิต, 50 ริงกิต และ 100 ริงกิต

6. สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า


 ใช้สกุลเงิน จ๊าด
 อัตราแลกเปลี่ยน 1 จ๊าด = 5 บาทไทย
 ธนบัตรที่ใช้ในปัจจุบัน = 1 จ๊าด, 5 จ๊าด, 10 จ๊าด, 20 จ๊าด, 50 จ๊าด, 100 จ๊าด, 200 จ๊าด, 500 จ๊าด, 1,000 จ๊าด, 5,000 จ๊าด และ 10,000 จ๊าด

7. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์

 ใช้สกุลเงิน เปโซ
 อัตราแลกเปลี่ยน 1.40 เปโซ = 0.78 บาท
 ธนบัตรที่ใช้ในปัจจุบัน = 20 เปโซ, 50 เปโซ, 100 เปโซ, 200 เปโซ, 500 เปโซ และ 1,000 เปโซ

8. สาธารณรัฐสิงคโปร์

 ใช้สกุลเงิน ดอลลาร์สิงคโปร์
 อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สิงคโปร์ = 24.40 บาท
 ธนบัตรที่ใช้ในปัจจุบัน = 2 ดอลลาร์สิงคโปร์, 5 ดอลลาร์สิงคโปร์, 10 ดอลลาร์สิงคโปร์, 50 ดอลลาร์สิงคโปร์, 100 ดอลลาร์สิงคโปร์, 1,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ และ 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์

9. ราชอาณาจักรไทย

 ใช้สกุลเงิน บาท
 ธนบัตรที่ใช้ในปัจจุบัน = 20 บาท, 50 บาท, 100 บาท, 500 บาท และ 1,000 บาท

10. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

 ใช้สกุลเงิน ด่ง
 อัตราแลกเปลี่ยน 900 ด่ง = 1.64 บาทไทย
 ธนบัตรที่ใช้ในปัจจุบัน = 100 ด่ง, 200 ด่ง, 500 ด่ง, 1,000 ด่ง, 2,000 ด่ง, 5,000 ด่ง, 10,000 ด่ง, 20,000 ด่ง, 50,000 ด่ง, 100,000 ด่ง, 200,000 ด่ง และ 500,000 ด่ง

          หมายเหตุ : ข้อมูล ณ วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 โดยอัตราแลกเปลี่ยนข้างต้นเป็นประมาณการซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน

แหล่งที่มา  http://money.kapook.com/view76748.html
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
dtn.go.th

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อาหารอาเซียน


                 


อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
ต้มยำกุ้ง - ประเทศไทย 

1.ประเทศไทย 

          ต้มยำกุ้ง (Tom Yam Goong)  แค่เอ่ยชื่อก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ต้มยำกุ้งเป็นอาหารคาวที่เหมาะสำหรับรับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ กลิ่นหอมของสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบในต้มยำกุ้ง นอกจากจะทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการเจริญอาหารได้เป็นอย่างดี

          และเนื่องจากต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่มีรสเปรี้ยว และเผ็ดเป็นหลัก ทำให้รับประทานแล้วไม่เลี่ยน จึงทำให้ต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในทั่วทุกภาคของประเทศไทย รวมถึงชาวต่างชาติเองก็ติดอกติดใจในความอร่อยของต้มยำกุ้งเช่นเดียวกัน

ดอกไม้ประจำชาติ อาเซียน



ดอกไม้ประจำชาติบรูไน ก็คือ ดอกซิมปอร์ (Simpor) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ดอกส้านชะวา (Dillenia) ดอกไม้ประจำท้องถิ่นบรูไน  ที่มีกลีบขนาดใหญ่สีเหลือง หากบานเต็มที่แล้วกลีบดอกจะมีลักษณะคล้ายร่ม  พบเห็นได้ตามแม่น้ำทั่วไปของบรูไน มีสรรพคุณช่วยรักษาบาดแผล  หากใครแวะไปเยือนบรูไน จะพบเห็นได้จาธนบัตรใบละ 1 ดอลลาร์ ของประเทศบรูไน  และในงานศิลปะพื้นเมืองอีกด้ว

ประวัติอาเซียน


ความเป็นมาของอาเซียน
              สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  (Association  of  Southeast  Asian  Nations  หรือ  ASEAN)  ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพ  (Bangkok  Declaration)  หรือ  ปฏิญญาอาเซียน  (ASEAN  Declaration)  เมื่อวันที่  8  สิงหาคม  2510  โดยมีประเทศสมาชิก  5  ประเทศ  ประกอบด้วย  อินโดนีเซีย  มาเลเซีย  ฟิลิปปินส์  สิงคโปร์  และไทย
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการเมือง  เศรษฐกิจและสังคม  ของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ต่อมามีประเทศสมาชิกเพิ่มเติม  ได้แก่  บรูไนดารุส-ซาลาม   เวียดนาม   ลาว   เมียนมาร์  และกัมพูชา  ตามลำดับ   จึงทำให้ปัจจุบันอาเซียน   มีสมาชิก  10  ประเทศ